Love ล่ารักข้ามภพ - Love ล่ารักข้ามภพ นิยาย Love ล่ารักข้ามภพ : Dek-D.com - Writer

    Love ล่ารักข้ามภพ

    การตามหารักที่เเทบไม่มีความหวัง...

    ผู้เข้าชมรวม

    130

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    130

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 มิ.ย. 57 / 20:56 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     “ข้าสัญญาค่ะว่าจะรักท่านตลอดชีวิต” เสียงหวานเอ่ยคำสัญญาด้วยถ้อยคำที่แผ่วจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมีน้ำตาโรยรินออกมา ลมหายใจก็แผ่วจนแทบจะหายไปในอากาศ เลือดสีแดงสดอาบผ้าขาวตัดกับผมยาวลอนสีน้ำตาลทองเงางาม

    ชายหนุ่มผู้อยู่ข้างกายตลอดจ้องมองใบหน้าของหญิงรักแม้นตนเองก็บาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกับหญิงสาวตรงหน้า

    “แล้วเจ้าจะสัญญาไหวว่าจะออกตามหาซึ่งกันและกัน” ฝ่ายชายเป็นคนถามบ้างซึ่งคำตอบก็คือคำพูดสุดท้ายของทั้งเขาและเธอ

    “สัญญา...ข้าจะตามหาท่านไม่ว่าภพใดก็ตาม” มือของทั้งคู่ประสานกันจนในที่สุดดวงตาของทั้งชายและหญิงก็หลุบลงและปิดสนิทลงในที่สุด

    สัญญา...แม้นว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็จะตามหาจนสิ้นลม...

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                  หญิง :

      ฉันกำลังตามหาชายหนุ่มคนหนึ่ง...

      เขาเป็นคนรักของฉันในชาติที่แล้วและเราทั้งคู่ตายพร้อมกันเพราะถูกศัตรูฆ่าตาย เมื่อก่อนฉันได้เกิดมาเป็นเจ้าหญิงองค์หนึ่งที่ได้ไปดูแลเมืองเมืองหนึ่ง และฉันก็ได้ภพกับกลุ่มผู้ก่อกบฏที่เป็นอริกับประเทศฉันมานานแล้วก็ได้ภพกับชายหนุ่มคนนั้นซึ่งตอนแรกผมไม่รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในกบฏ เขาได้ช่วยฉันตอนที่ผมถูกลอบสังหารแล้วตอนนั้นเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าฉันเป็นเจ้าหญิงที่เป็นอริเขา

      หลังจากนั้นไม่นานเราก็รักกันและฉันก็ได้รู้ความจริงว่าเขาเป็นหนึ่งในกบฏ เพราะรักนั้นไม่อาจห้ามฐานะได้เราทั้งคู่หนีไปด้วยกันแต่ไม่สำเร็จพวกเราโดนทั้งทหารในราชวังและกบฏฆ่าตาย ฉันสัญญากับเขาก่อนตายว่าจะตามหาแม้นจะสิ้นชีวิตกระทั่งวันเวลาที่ผ่านมาหลายร้อยปีก็ไม่อาจจะพรากเขาไปจากฉันได้

      ฉันออกตามหาเขาในทุกๆทางที่สามารถไปได้เพื่อคิดว่าจะได้เจอเขาสักครั่งจนแทบจะเป็นบ้า แม้นที่ที่ฉันจะไปจะเป็นนรกก็ตาม ฉันไม่รู้ว่าเขาจะจำอดีตได้เหมือนฉันหรือกลับชาติมาแล้วหรือเกิดยังแต่ฉันก็ยังคงตามเขาตามที่ให้สัญญาแม้นจะหมดลมหายใจหรือแก่ชราแล้วก็ตาม

      ตอนนี้ฉันอยู่ที่ภูเก็ต เสียงคลื่นทะเลไม่อาจจะชำระล้างความรู้สึกเศร้าหมองใจได้แม้แต่นิดเดียว ดวงตาของฉันทอดมองไปยังท้องทะเลที่มีคลื่นถาโถมมาตลอด ฉันเดินไปตามชายทะเลแต่เพราะความที่ฉันเหม่อลอยเลยทำให้เดินชนกับใครบางคนจนฉันซวนเซแต่เขาคนนั้นก็จับแขนฉันแล้วดึงเข้ามาหาตัวเพื่อไม่ให้ฉันล้มลงไป

      “ไม่เป็นไรนะครับ” เสียงที่ฉันแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยมันอย่างน่าแปลก ฉันเงยหน้าขึ้นมองคนที่ถามฉันแล้วก็ต้องตกตะลึง

      เจอแล้ว...

      ฉันเจอแล้ว...

      ฉันกลืนน้ำลายลงไปเพื่อกลั้นเสียงที่จะพูดอะไรแปลกๆออกไป ฉันยังไม่แน่ใจว่าเขาจำฉันได้ไหมเพราะงั้นการที่ทำเป็นไม่รู้จักกันคือทางเลือกที่ดีกว่า

      “ม...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอโทษด้วยนะคะที่เดินไม่ระวัง” ฉันพยายามที่จะไม่ให้เสียงอย่างสุดความสามารถ เขาคนนั้นยิ้มละไมให้ฉันแล้วปล่อยแขนของฉันเป็นอิสระ

      หัวใจเริ่มพองโต ความหวังที่เกือบจะลมเลือนหายไปในจิตใจกลับมาอีกครั่ง ฉันพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองเดินเข้าไปกอดเขาแล้วบอกว่าคุณจำฉันได้ไหม ฉันพยายามห้ามใจตัวเองแทบตายที่จะกลั้นใบหน้ายินดีจนทำให้คนตรงหน้าสงสัย แล้วฉันก็พยายามแทบตายเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองทำตัวเป็นคนบ้าในสายตาเขาจนเขาต้องเดินจากไปแล้วใจปวดกว่านี้

      “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ” เขายิ้มให้ฉันและฉันก็ยิ้มตามเขา ฉันดีใจมาก มากเสียจนแทบจะห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่ อยากจะอยู่ใกล้ไม่อยากให้เขาไปไหนแต่ว่าฉันก็ถ่วงเวลาไว้ได้ไม่นาน

      “ฮิวจ์คะ” เสียงใสๆดังมาจากด้านหลังของชายตรงหน้าฉันทำให้ทั้งเขาและฉันหันไปมอง ใบหน้าของคนที่ฉันกำลังตามหายิ้มออกมา มันไม่เหมือนกับรอยยิ้มที่เขาส่งมาให้ฉันตอนแรกแต่มันเป็นรอยยิ้มของคนที่รู้จักกันมานานและความรู้สึก...รักใคร่...

      ดวงตาของฉันหม่นลงทันที คำถามที่อยู่ในใจของฉันว่าเขายังจำเรื่องราวของฉันได้ไหมคำตอบก็คือไม่...ไม่เคยแม้แต่เศษเสี้ยวของความรู้สึก...

      “ฟ้าใสมีอะไรเหรอครับ” เสียงอันอ่อนโยนที่มันทำให้ใจของฉันเจ็บแปรบ ฮิวจ์...ชาตินี้เขาชื่อฮิวจ์สินะ เป็นชื่อที่ไพเราะจริงๆ...

      “เอ่อ...ฉันขอตัวก่อนนะคะ เรื่องเมื่อกี้ฉันขอโทษนะคะ” ฉันโค้งหัวเป็นการขอโทษ ฮิวจ์หันมายิ้มให้ฉันเช่นเดินฉันจึงตั้งท่าจะกลับตัวไปแต่เขาก็รั้งฉันไว้ก่อน

      “เอ่อ...เดี๋ยวก่อนครับ”

      ฉันกลั้นลมหายใจเพื่อห้ามน้ำตาแล้วหันมายิ้มให้ “คะ?”

      “คุณชื่ออะไร”

      คำถามที่ทำให้ฉันทำใบหน้าสงสัยเขาจึงพูดอธิบายอย่างละล้ำละลักเหมือนกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง

      “เอ่อ...แบบว่าแค่อยากรู้จักชื่อคุณเท่านั้น ผมชื่อฮิวจ์”

      ฉันยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่ฉาบความเศร้าบางๆแล้วตอบว่า “น้ำชาค่ะ”

      “ขอบคุณนะครับที่ตอบผม”

      “ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าเป็นคำขอโทษที่ฉันเดินชนคุณด้วย” หลังจากพูดจบฉันก็หันหลังกลับแล้วน้ำตาที่กลั้นมานานก็ไหลลงอาบเพราะว่าสิ้นสุดความสามารถของฉันที่จะกลั้นมาต่อไปแล้ว

      จบแล้วสินะ...

      มันจบแล้วสินะกับการเดินทางตามหาอันแสนยาวนานของฉัน มันจบแล้วสินะชีวิตของฉัน...

       

      ชาย :

      ผมรู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนั้นเราของคนเดินชนกันแล้วผมเห็นว่าเธอจะล้มก็เลยคว้าจับแขนเธอเอาไว้แล้วก็เหมือนมีความรู้สึกอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามากลางอกของผม ความรู้สึกโหยหา คิดถึง และรัก...เธอเองก็ดูตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของผม แววตาดีใจที่ติดตรึงเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนมันทำให้ผมแปลกใจว่าเธอแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาทำไม

      แต่หลังจากที่ฟ้าใสซึ่งเป็นแฟนสาวของผมเดินเข้ามาทักแม้นไม่หันไปมองแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเธอทำหน้าเหมือนเจ็บปวดใจจนใจของผมมันหวิวแปลกๆ แล้วผมก็ต้องแปลกใจอีกครั่งเมื่อตัวเองเอ่ยปากถามชื่อของเธอคนนั้นไปซึ่งเธอก็ตอบผมกลับมาด้วยร้อยยิ้มเศร้าๆจนผมรู้สึกใจหายอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ผมแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักและสนิทชิดเชื้อมาก่อนอย่างแน่นอน

      “ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอคะ” ฟ้าใสถามผมที่นิ่งเงียบตั่งแต่ที่เธอคนนั้นเดินจากผมไป

      “อ๋อ เขามาเดินชนผมน่ะ” ผมตอบฟ้าใสกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนทำให้เธอยิ้มน่ารักๆออกมาและควงแขนออดอ้อนผมด้วยท่าทางน่ารัก

      “งั้นเราไปหาอะไรทานดีไหมคะ” ฟ้าใสชักชวนผมซึ่งผมเองก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธเธออยู่แล้วเราทั้งคู่จึงเดินไปตามทางที่มีร้านขายของเรียงรายไปตลอดทาง

      ข้าสัญญาค่ะว่าจะรักท่านตลอดชีวิต เหมือนกับมีเสียงอะไรบางอย่างดังเข้ามาในหัวทำให้ผมหันไปมองรอบๆแต่ก็เจอแต่เพียงผู้คนที่เดินไปมาเท่านั้น

      “มีอะไรเหรอคะ” ฟ้าใสเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าท่าทีของผมแปลกไป แต่คำตอบของผมก็คือการยิ้มและส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร

      แล้วเมื่อกี้มันคือเสียงอะไร...

       

      หญิง :

      ฉันเดินกลับมาที่พักด้วยท่าทางโซเซเหมือนจะล้มลงอยู่ตรงนั้น หัวใจของฉันเจ็บขึ้นมาจนแทบหายในไม่ออก ฉันเป็นโรคหัวใจอ่อนแอมาแต่เด็กๆอาจจะเป็นเพราะเรื่องในชาติที่แล้วที่ฉันเดินแทงที่หัวใจด้วยก็ได้ ฉันหอบหายใจถี่รัวแต่ก็พยายามที่จะเดินกลับห้องอย่างสุดความสามารถจนในที่สุดก็ถึงประตูห้อง ฉันเปิดลิ้นชักออกแล้วหยิบซองยาออกด้วยมือไม้ที่สั่นระริก ฉันอยากจะต่อชีวิตตัวเองอีกสักนิดก็ยังดี อย่างน้อยๆก็ให้ได้เห็นใบหน้าของคนคนนั้นอีกแค่สักครั่งให้พอคลายความโหยหาได้บ้างไม่หวังให้หันมามองหรือจำฉันได้หรอก แน่นั้นก็ยังดี

      ไม่กี่นาทีอาการของฉันก็คลายลง ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วล้มตัวนอนลงไปบนเตียงนุ่มสีขาวอย่างอ่อนแรง เรื่องวันนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน ใบหน้าของฮิวจ์เข้ามาในหัวของฉันแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเกินหักห้าม

      ตอนนี้เวลาชีวิตของฉันเหลือเพียงหยิบมือ หมอบอกกับฉันว่าฉันอยู่ได้เพียงสองปีแล้วตอนนี้ฉันก็ใช้เวลาตามหาเขามานานเกินไปจนเวลาของฉันเหลือเพียงไม่กี่วัน เผลอๆพรุ่งนี้ฉันอาจจะตายแล้วก็ได้เพราะฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ฉันจะไปหาเขาอีกครั่งและบอกเรื่องราวทั้งหมด

      ตกดึกฉันออกมานั่งเล่นที่ริมทะเลเพราะต้องการที่จะเปลี่ยนบรรยากาศ อากาศของตอนกลางคืนมันทำมันให้ฉันรู้สึกดีมากๆพอที่จะผ่อนคลายเรื่องหนักหัวลงไปได้บ้าง

      “ผมขอนั่งด้วยได้ไหม”

      ฉันเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าคนที่เอ่ยถามเป็นใคร

      “คุณฮิวจ์!

      “ครับ” เขายิ้มตอบฉัน “ผมนั่งได้ไหมครับ” เมื่อเห็นฉันไม่ตอบสักทีเขาก็เลยถามย้ำ

      “ได้ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับแล้วเขาก็นั่งลงข้างฉัน

      “ผมชอบทะเลตอนกลางคืนมาเลยครับแต่ฟ้าใสเขาไม่ชอบเท่าไหร่เราจึงไม่ค่อยได้ออกมาเดินเล่นกันแบบนี้” เพียงประโยคแรกเขาก็พูดถึงฟ้าใสทันที นั่นมันยิ่งทำให้ฉันเจ็บ สำหรับเขาเราทั้งคู่อาจจะเป็นเพียงคนที่เพิ่งรู้จักกันแต่สำหรับฉันคือเราทั้งคู่รักกัน...

      “เหรอคะ แต่ว่ามันก็รู้สึกดีนี่คะกับการได้รักใครสักคน” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติ

      “ผมเองก็คิดว่าแบบนั้นเหมือนกัน” หลังจากจบประโยคนี้ทั้งเขาและฉันไปปล่อยให้เสียงคลื่นซัดเซาะต่อไป...

       

      ชาย :

      ผมกับน้ำชาเจอกันโดยบังเอิญที่ริมทะเลเพราะเราทั้งคู่อกมาเดินเล่นเหมือนกัน ผมขอเธอนั่งเล่นด้วยเราทั้งคู่จึงคุยกันเล่นแค่สามสี่ประโยคซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าผมพูดอะไรผิดรึเปล่าแล้วผมก็ไม่กล้าเป็นประเด็นก่อนด้วย

      "เธอ ยังคิดถึงฉันไหม...” จู่ๆน้ำชาก็ร้องเพลงออกมา ผมจำได้ว่ามันเป็นเพลงเธอ ของ Cocktail แล้วน้ำชาก็สื่ออารมณ์ออกมาได้ดีมาจนผมถึงกับรู้สึกเศร้าไปกับเพลงทั้งที่ตอนแรกยังรู้สึกเฉยๆอยู่เลย

      “...เมื่อสองเรานั้นยังต้องห่างไกล เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน...

       ...รู้ บ้างไหมคนไกลยังคงหวั่นไหว เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไรน้ำตามันยังไหลออกมา...” เสียงของน้ำชาหยุดลงไปพร้อมกับน้ำตาของผมไหลลงมาอาบใบหน้าโดยที่ผมไม่รู้ตัว

      แล้วเจ้าจะสัญญาไหวว่าจะออกตามหาซึ่งกันและกัน

      เสียงแปลกๆดังเข้ามาในหัวของผมอีกครั่งแต่ผมก็ยังหาต้นเสียงไม่เจอสักที แต่ที่น่าแปลกก็คือเมื่ออยู่ใกล้กับน้ำชาแล้วเสียงมันเด่นชัดขึ้น

      “คุณฮิวจ์ร้องไห้ทำไมครับ” ผมได้สติกลับมาเมื่อน้ำชาทัก ผมจึงยกมือขึ้นเตะใบหน้าของตัวเองที่มีน้ำตาไหลออกมาจริงๆ

      “เอ่อ...คือผมอินกับเพลงของคุณน่ะครับ มันดูเศร้าและไพเราะมากๆเลยครับ”

      “เหรอคะ ขอบคุณค่ะ” น้ำชายิ้มรับคำชมของผม มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าและเจ็บปวดมากๆจนผมรู้สึกว่าตั่งแต่ผมเจอเธอก็ไม่เคยเจอรอยยิ้มที่ดูมีความสุขสักที “เอ่อ...คือฉันมีเรื่องจะขอร้องคุณน่ะค่ะ”

      ผมเลิกคิ้วเมื่อน้ำชาเอ่ยขอร้องผม “มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

      “พรุ่งนี้ตอน 2 ทุ่มออกมาเจอฉันที่เดิมตรงนี้หน่อยได้ไหมคะ”

      “เอ๋?”

      “ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะคะ”

      บางทีผมอาจจะแพ้น้ำเสียงผิดหวังของเธอล่ะมั้งถึงได้ยอมตอบตกลงไป เพราะปกติผมจะไม่ตอบรับคำขอจากคนที่รู้จักกันได้ไม่นาน

      “ได้ครับ”

      “ขอบคุณค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เมื่อน้ำชากล่าวจบเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ผมมองเธอจนลับสายตา ความรู้สึกโหยหาทุกครั่งที่เจอน้ำชามันแรงขึ้นทุกทีจนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไม ผมนั่งอยู่ที่เดิมสักพักแล้วจึงลุกขึ้นกลับที่พักไป

       

      วันรุ่นขึ้น 2 ทุ่มตรง ตามเวลานัด

      ผมมาถึงที่ที่นัดกันไว้ก็เจอน้ำชายืนรออยู่ เธอใส่ชุดกระโปรงสีขาวที่พัดพลิ้วไปกลับสายลม เรืองผมสีน้ำตาลทองปล่อยยาวกระทบแสงจันทรากลมโต

      ผมเดินตรงเข้าไปหาเธอ เมื่อรับรู้ว่ามีใครเดินเข้ามาน้ำชาก็หันมาทางผม ใบหน้าของเธอดูซีดเซียวจนน่าใจหายทั้งที่เมื่อวานยังดูสดใสดีแท้ๆ

      “หน้าของคุณดูเซียวมาเลยนะครับ เป็น...” ผมยังพูดไม่ทันจบเธอก็พุ่งเข้ามากอดผมแน่นทันที ด้วยความตกใจทำให้ผมเผลอผลักเธอออกไปจนร่างบางล้มลงไปกลับพื้น

      “คุณทำอะไรของคุณ!” ผมตะหวาดเสียงดังลั่นด้วยความโกรธ เพราะผมไม่ชอบให้คนที่เพิ่งจะรู้จักมาทำแบบนี้ เธอทำให้ผมผิดหวัง แต่ร่างเล็กที่ล้มลงไปกลับไม่มีเสียงพูดใดๆทั้งสิ้น มีเพียงมือบางที่กำแน่นและหยดน้ำตาที่ร่วงรินจากใบหน้าสวยเท่านั้น

      “คุณจำไม่ได้สินะ” คำพูดแปลกทำผมขมวดคิ้วด้วนความงวยงง

      “จำอะไร?” ผมขมวดคิ้วถามกลับไป น้ำชาเงยหน้าขึ้นมองผมน้ำตาไหลอาบใบหน้าลงมาเต็มไปหมดเหมือนระบายออกมา

      “จำเรื่องราวเมื่อชาติที่แล้วไม่ได้จริงๆสินะ” น้ำชาลุกขึ้นมาจับไหลของผม ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมีฉายแววถามไถ่ออกมา “คุณจำไม่ได้เหรอ จำฉันไม่ได้เหรอ จำเรื่องของเราไม่ได้จริงๆเหรอ”

      ผมผลักเธอจนล้มลงไปอีกครั่งแล้วตะโกนใส่หน้าของเธอว่า “คุณพูดบ้าอะไรของคุณ! ผมเพิ่งจะรู้จักคุณ! เพิ่งจะได้รู้ชื่อคุณ! เรื่องราวของเราบ้าบออะไรกันผมไม่รู้จัก!” แม้นผมจะรู้ว่าตังเองพูดแรงไปแต่ว่าผมทนไม่ไหวแล้ว คนตรงหน้าพูดอะไรของเขากันแน่

      และดูเหมือนว่าคำพูดของผมมันตรงจุดพอดี ใบหน้าของน้ำชาแสดงความเจ็บปวดออกมา เรียวปากบางมีรอยยิ้มเศร้าสร้อย

      “เหรอ งั้นฉันขอโทษนะคะแต่ว่า...” น้ำชาลุกขึ้นอีกครั่ง แล้วทันใดนั้นเธอก็กระอักเลือดสีแดงสดออกมา “...ฉันคงไม่มีเวลาเหลือให้ตามหาคนคนนั้นแล้วล่ะค่ะ ขอโทษ...” พูดเพียงเท่านั้นร่างบางก็ล้มลงไปทันที ผมได้แต่ยืนตะลังงันจนร่างของน้ำชาล้มลงไปกับพื้นแล้วอาการปวดหัวก็ถาโถมเข้ามา

      ภาพแปลกๆไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วและมากมาย จนสุดท้ายมันก็มาหยุดอยู่ที่ภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง

       

      “ข้าสัญญาค่ะว่าจะรักท่านตลอดชีวิต” เสียงหวานเอ่ยคำสัญญาด้วยถ้อยคำที่แผ่วจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมีน้ำตาโรยรินออกมา ลมหายใจก็แผ่วจนแทบจะหายไปในอากาศ เลือดสีแดงสดอาบผ้าขาวตัดกับผมยาวลอนสีน้ำตาลทองเงางาม

      ชายหนุ่มผู้อยู่ข้างกายตลอดจ้องมองใบหน้าของหญิงรักแม้นตนเองก็บาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกับหญิงสาวตรงหน้า

      “แล้วเจ้าจะสัญญาไหวว่าจะออกตามหาซึ่งกันและกัน” ฝ่ายชายเป็นคนถามบ้างซึ่งคำตอบก็คือคำพูดสุดท้ายของทั้งเขาและเธอ

      “สัญญา...ข้าจะตามหาท่านไม่ว่าภพใดก็ตาม” มือของทั้งคู่ประสานกันจนในที่สุดดวงตาของทั้งชายและหญิงก็หลุบลงและปิดสนิทลงในที่สุด

       

      อาการปวดหัวหายไปทันทีเมื่อจบภาพนั้น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า ผมมองภาพของของหญิงสาวที่ล้มลงไปด้วยหัวที่ปลอดโปล่ง นึกออกแล้ว...

      ผม...นึกออกแล้ว...

      “เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อน...” ผมเดินโซเซไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งกับพื้น มือของผมอังที่จมูกซึ่งมันก็ไม่มีลมหายใจซะแล้ว “อย่าเพิ่ง...อย่าเพิ่งจากฉันไปสิ! ฉันนึกออกแล้ว นึกออกหมดทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นลืมตาขึ้นมา ลืมตาขึ้นมาสิ ลืมตาขึ้นมา สิรินทรา!!!

       

      ผมกำลังตามหาหญิงสาวคนหนึ่ง...

      ผมและเธอเคยรักกันเมื่อชาติปางก่อนและผมก็ไม่รู้ว่าเธอจะยังจำเรื่องของผมได้ไหมหรือเธอกลับมาเกิดหรือยัง แต่ผมก็ยังที่จะตามกาเธอตามที่ได้ให้สัญญาไว้ว่า

      ...แม้นต้องแลกด้วยชีวิตก็จะตามหาจนสิ้นลม...

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×